มด วิธีกำจัดมด

มด และ วิธีกำจัดมด

มดงาน

 มด เป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มีจำนวนชนิดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมีย และ เป็นหมันทำหน้าที่หาอาหาร สร้างรังและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้ มดบางชนิดสามารถกัด หรือ ต่อยด้วยเหล็กใน ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด เกิดอาการแพ้ หรือ เกิดแผลติดเชื้อได้ ด้วยสาเหตุนี้ มดจึงจัดเป็นแมลงศัตรูรบกวนต่อมนุษย์ และ มีความสำคัญทางการแพทย์

ชนิดของมดที่พบ

มีมดอยู่หลายชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์และควรรู้จักได้แก่

1.  มดคันไฟ (Solenopsis geminata)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ : สีเหลืองแดงมีขนที่หัวและตัว, หนวดมี 10 ปล้อง,อกแคบ, pronotum กลม, pro-mesonotal suture เห็นชัดเจน, pedicel มี 2 ปุ่ม, ท้องรูปไข่,มีลายขวางสีน้ำตาลมีเหล็กใน, ความยาว 7.8 มิลลิเมตร 

            ลักษณะทางชีววิทยา : ทำรังอยู่ใต้ดินที่ร่วนซุยโดยดินทรายรังหนึ่งๆมีรูทางเข้าออกเล็กๆบนพื้นดินได้หลายรูกินแมลงและซากสัตว์เล็กๆเป็นอาหาร

            ความสำคัญทางการแพทย์ : ใช้เหล็กในต่อยผู้ถูกต่อยจะรู้สึกเจ็บแสบคล้ายถูกไฟลวกจึงเรียกมดคันไฟหลังจากถูกต่อยจะมีอาการบวมแดงขยายกว้างขึ้นและจุดที่ถูกต่อยจะใสคล้ายถูกไฟลวกและจะมีอาการคันมากเมื่อเกาผิวหนังจะบวมแดงแผ่กว้างขึ้น

2.  มดละเอียดหรือมดเหม็น (Tapinoma melanocephalum)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ : หัวและอกสีดำท้องสีน้ำตาลอ่อนปล้องหนวดมี scapeและ funicle ยาวตารวมใหญ่อยู่ด้านหน้า, pedicel มีปุ่ม 1 ปุ่มมีลักษณะแบนปล้องแรกของท้องส่วน gaster ยื่นไปคลุมบน pedicel

            ลักษณะทางชีววิทยา : ทำรังบนดินร่วนบริเวณโคนต้นไม้เช่นต้นไผ่ชอบซ่อนตัวตามกาบใบที่มีความชุ่มชื้น

            ความสำคัญทางการแพทย์ : เมื่อเข้ามาหาอาหารในบ้านเรือนจะขับถ่ายสารปนเปื้อนใส่อาหารทำให้มีกลิ่นเหม็นทำอันตรายคนโดยการกัดแต่จะเกิดอาการคันเพียงเล็กน้อยไม่รุนแรง


3.  มดละเอียด (Monomorium pharaonis)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ : สีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลอ่อนหรือสีแดงสว่างใสท้อง มีสีเข้มเกือบดำหนวดมี 12 ปล้องโดย 3 ปล้องสุดท้ายใหญ่เป็นรูปกระบองตาเล็กอกยาว แคบเห็นเส้นแบ่งอกปล้องที่ 2 และปล้องที่ 3 (meso-metanotal suture) ชัดเจน pedicel มี 2 ปุ่มรูปไข่มีขนปกคลุมทั่วร่างกายลำตัวมีความยาว 1.5-2 มิลลิเมตร

            ลักษณะทางชีววิทยา : เป็นมดที่ทำรังหลักหรือรังใหญ่ (mother colony) อยู่ภายนอก บ้านแต่มดงานจะเข้ามาหาอาหารภายในบ้านเรือนรังจะมีขนาดต่างๆกันตั้งแต่รังขนาดเล็ก จนถึงรังขนาดใหญ่ที่มีประชากรเป็นหมื่นเป็นแสนตัวและพบว่ามดชนิดนี้สามารถสร้างรังย่อย (daughter colony) แตกออกมาจากรังหลักกระจายอยู่ในบ้านหรือตามที่อยู่อาศัยต่างๆของ คนเช่นอพาร์ตเมนต์โรงงานโรงพยาบาลโดยรังย่อยเหล่านี้จะซ่อนอยู่ตามรอยแตกของผนัง ช่องว่างตามกำแพงกล่องสวิตช์ไฟนอกจากนี้ภายในรังเดียวกันสามารถมีมดราชินีได้มากกว่า 1 ตัวมดละเอียดเป็นมดที่ผสมพันธ์ุภายในรังและผสมพันธ์ุได้ทั้งปีหลังผสมพันธ์ุแล้วราชินี ตัวใหม่จะออกจากรังเดิมเพื่อไปสร้างรังใหม่ มดละเอียดชนิดนี้กินอาหารได้หลายชนิดโดยกินได้ทั้งน้ำตาลและโปรตีนพวกเนื้อสัตว์ เศษซากแมลงที่ตายแล้วเลือดน้ำเหลืองและสารคัดหลั่งอื่นๆจากร่างกายของคนเป็นมดที่ จัดได้ว่าทำการควบคุมได้ยากเนื่องจากเป็นมดที่มีขนาดเล็กหลบซ่อนตัวได้ง่ายหากินไกล ออกไปจากรังมีทั้งรังหลักและรังย่อยซึ่งยากต่อการค้นหาและพบว่าการใช้สารเคมีในการ ฉีดพ่นที่รังใดรังหนึ่งและทำให้ประชากรแตกกระจายบางครั้งจะทำให้มดชนิดนี้ยิ่งแตกออก เป็นรังย่อยๆหรือเรียกว่า budding ซึ่งทำให้การควบคุมทำได้ยากยิ่งขึ้น

            ความสำคัญทางการแพทย์ : มีเหล็กในแต่ไม่ปรากฎให้เห็นเมื่อถูกรบกวนจะป้องกัน ตัวโดยการกัดผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บและคันเพียงเล็กน้อยปัญหาทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะเกิด ขึ้นเมื่อมดชนิดนี้เข้ามาสร้างรังย่อยอยู่ในโรงพยาบาลและมดงานออกหาอาหารภายใน โรงพยาบาลซึ่งจะทำให้เกิดการปนเปื้อนหรือการแพร่กระจายของเชื้อโรคระหว่างพื้นที่ต่างๆ ในโรงพยาบาลได้

4.  มดละเอียด (Monomorium indicum)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ: สีแดงสนิมปนสีน้ำตาลเข้มส่วนท้องใส, หนวดมี 12 ปล้อง, อกยาวแคบเห็น meso-metanotal ชัดเจน, pedicel มี 2 ปุ่มรูปไข่, ความยาว2.5-3.5 มิลลิเมตร

            ลักษณะทางชีววิทยา: ทำรังในดินพบตามบ้านที่อยู่อาศัยชอบกินของหวานเมื่อมากินอาหารแล้วจะปล่อยสิ่งขับถ่ายทำให้อาหารมีรสชาติเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวรวดเร็วมักเห็นเดินบนกำแพงหรือฝาห้องมากกว่าบนพื้น

            ความสำคัญทางการแพทย์: เมื่อถูกรบกวนจะป้องกันตัวโดยการกัดผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บและคันเพียงเล็กน้อย


5.  มดง่าม(Pheidologeton diversus)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ : สีน้ำตาลเข้ม, กรามใหญ่, หนวดมี 11 ปล้อง pronotumและ mesonotum นูน, metanotum เว้าลงมี metanotal spine, pedicel มี 2 ปุ่ม ส่วนท้องกว้างรูปไข่, ความยาว 4.5-13 มิลลิเมตร

            ลักษณะทางชีววิทยา : ทำรังในดินร่วนมองผิวดินจะเห็นเป็นเพียงรูเปิดเล็กๆและมี ดินร่วนกองอยู่รอบๆของขอบรูเข้าออกชอบทำรังในที่ร่มชื้นกินแมลงและเนื้อสัตว์เป็นอาหาร

            ความสำคัญทางการแพทย์ : ทำอันตรายคนโดยการกัดอาการจะคล้ายคลึงกับอาการ ของคนที่ถูกมดคันไฟต่อยมาก

6.  มดแดง(Oecophylla smaragdina)

            ลักษณะทางอนุกรมวิธานที่สำคัญ : สีแดงสนิมหัวและส่วนอกมีขนสั้นๆสีขาว, หนวดมี 12 ปล้อง, อกยาว, pronotum โค้ง, mesonotum คอดคล้ายอาน, metanotum กลม, ขาเรียวยาว pedicel มี 1 ปุ่ม, ท้องสั้น, ความยาว 15-18 มิลลิเมตร

            ลักษณะทางชีววิทยา : ทำรังบนต้นไม้ใหญ่เช่นต้นมะม่วงชมพู่โดยใช้ใบเหล่านี้ประกอบ เป็นรังโดยตัวอ่อนจะปล่อยสารเหนียวออกมาเชื่อมใบไม้ประกบกันเมื่อพบเหยื่อจะทำร้ายเหยื่อ โดยการกัดและฉีดสารพิษออกทางปลายท้องเมื่อเหยื่อได้รับบาดเจ็บก็จะช่วยกันลากกลับรัง

            ความสำคัญทางการแพทย์ : เมื่อถูกรบกวนจะทำอันตรายคนโดยการกัดผู้ถูกกัดจะ รู้สึกเจ็บปวดมากต่อมาจะเกิดอาการบวมคัน

วิธีการควบคุมมด

1.การควบคุมโดยใช้สารเคมี

  • การฉีดพ่นสเปรย์ โดยผู้เชี่ยวชาญ
  • เหยื่อพิษ

2.การควบคุมโดยการปรับสภาพแวดล้อม

  • ไม่ให้มีแหล่งอาหารอยู่ในบ้านเรือนหรือบริเวณรอบบ้าน หมั่นสอดส่องดูแลภายในบ้านเรือนไม่ให้มีที่ที่เหมาะสมสำหรับมดมาทำรัง ไม่ควรปลูกต้นไม้ที่มีน้ำหวานไว้ใกล้บ้าน

3.การควบคุมโดยวิธีกล

  • โดยการใช้มือบี้หรือทำลาย ใช้ไม้กวาดกวาดทิ้งหรือการทำลายรังโดยวิธีต่างๆ เช่น ใช้ไฟเผา ตัดรังทิ้งในกรณีที่รังอยู่บนต้นไม้ เป็นต้น
  • กุญแจที่สำคัญในการควบคุมมด คือการหารังมดให้พบ โดยจะต้องทราบชนิดของมดนั้นก่อน